เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๒ ก.พ. ๒๕๔๖

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๖
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

กรรมของคนไม่เหมือนกัน นี่กรรมของสัตว์ สัตว์เกิดมาก็ไม่เหมือนกัน เราเกิดมาก็ไม่เหมือนกัน มันถึงว่าต้องเข้าใจตรงนี้ เข้าใจตรงสัจธรรม สัจธรรมเป็นความจริง “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” ถ้าทำความดีขึ้นมาแล้วมันจะเป็นความดีของเรา ถ้าทำคุณงามความดี ถ้ามันไม่ทำคุณงามความเราขึ้นมา เราทำของเราขึ้นมา มันทำแล้วมันคิดว่าเหมือนกับไม่ได้ประโยชน์ ไม่ได้ผลอะไร กับเราไง มันจะได้ผลกับเรา ได้ประโยชน์กับเราถ้าเราทำของเราขึ้นมา ถ้าเราไม่ทำของเราขึ้นมา มันไม่ได้ นี่การกระทำ ศาสนาพุทธสอน สอนอย่างนี้ สอนถึงการกระทำ “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” มันเป็นเรื่องปกติของมันเลย

เกิดมาในท้องพ่อท้องแม่เดียวกัน นี่ก็เหมือนกัน สัตว์เกิดมาจากท้องเดียวกันก็ไม่เหมือนกัน นิสัยใจคอก็ไม่เหมือนกัน นิสัยของสัตว์ก็ไม่เหมือนกัน นิสัยของคนก็ไม่เหมือนกัน ถึงต้องสอนไง ประเพณีวัฒนธรรมก็สอน “น้ำขุ่นเอาไว้ใน น้ำใสเอาไว้นอก” แต่เวลากระทบขึ้นมาแล้วไม่รู้น้ำขุ่นน้ำใสมันออกไปหมดเลย นี่เวลาสอนกันก็สอนกัน นี่ลัทธิคือการจำกันมา มันเป็นลัทธิ

แต่นี่มันเป็นศาสนา ศาสนานี้สอนหมดเลย สอนลงที่หัวใจ สอนลงที่การประพฤติปฏิบัติ สอนลงที่ว่าพ้นจากกิเลส นี่ตัวศาสนา ศาสนาอธิบายได้หมดเลย ถึงว่าการเกิดๆ มาจากไหน ตายแล้วไปไหน? ตายไปตามประสากรรม แต่ผู้ที่จะอธิบายในศาสนาได้ ต้องเข้าใจศาสนาตามความเป็นจริง ใจของผู้ประพฤติปฏิบัติจะเข้าถึงหลักความเป็นจริง แล้วจะเห็นความเป็นจริงอันนั้น นี่อธิบายได้ เพราะอธิบายได้ อธิบายให้ใครฟังก่อน? อธิบายให้ตัวเองฟังก่อน ถ้าตัวเองยังลังเลสงสัยอยู่ ตัวเองยังไม่เข้าใจอยู่ ถ้าความลังเลของเรายังมีอยู่ เราจะพ้นไปได้อย่างไร เราต้องพ้นออกจากความลังเลสงสัยของเราก่อน นี่อธิบายให้เราฟังก่อน อธิบายคือการประพฤติปฏิบัติ

จะน้ำใสน้ำขุ่นก็แล้วแต่ เวลาประพฤติปฏิบัติมันต้องเอาทั้งหมดมารวมกัน แล้วทำลายทั้งหมด ต้องจับทั้งหมดให้ใสอยู่ภายนอก ขุ่นอยู่ภายใน ประสาที่เขาว่า ขุ่นอยู่ภายใน มันขุ่นอยู่ในหัวใจของเรา แต่น้ำใสนี่ สังคมประเพณีเราต้องต้อนรับกันด้วยน้ำใส ด้วยความเป็นประเพณี น้ำใสต้องเอาไว้นอก น้ำขุ่นเอาไว้ในมันก็ทุกข์อยู่ตลอดไป

แต่เวลาประพฤติปฏิบัติ จิตนี้สงบขึ้นมานี่ใส ใสจากภายใน มันใส น้ำข้างในมันก็ใสขึ้นมา แต่เขาว่าน้ำใสแล้วจะเห็นตัวปลา ปลามันมาจากไหน เราจะเห็นปลามาจากไหน ปลามันอยู่จากภายใน มันจะไปเห็นปลาจากตรงไหนถ้ามันไม่ค้นคว้าของมันขึ้นมา นี่คนไม่ปฏิบัติมันก็ฟังไปตีความไป ตีความศาสนาไป คิดถึงแต่เหตุอย่างนั้นไป

ลัทธิกับศาสนา ลัทธิก็สอนต่างๆ ศาสนาสอนเข้ามาให้ละเอียดอ่อนกว่านั้น แต่ศาสนาสอนให้มีการกระทำ เราต้องทำคุณงามความดีของเรา คุณงามความดีตั้งแต่หยาบๆ ขึ้นมา จากเด็กขึ้นมาก็พยายามศึกษาเล่าเรียนขึ้นมา จากผู้ใหญ่ขึ้นมา เลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ ทำให้พ่อแม่มีความสุขมีความสบายใจ มันเป็นการกระทำคุณงามความดีทั้งหมดเลย เพราะว่าเกิดอันประเทศอันสมควร ประเทศนี้มันเป็นประเทศชาติก็ได้ เกิดในประเทศอันสมควร เกิดในพ่อแม่อันสมควร เห็นไหม

สัมมาทิฏฐิ มิจฉาทิฏฐิ เกิดมาสัมมาทิฏฐิ พ่อแม่พาให้เจริญรุ่งเรือง พาให้เจอคุณงามความดี ไม่ต้องไปกระสนไปขวนขวายใหม่ ถ้าเกิดในมิจฉาทิฏฐิ พ่อแม่ไม่พากระทำนะ ลูกก็ไม่มา ลูกก็ไม่เข้าใจ แล้วเวลาทุกข์ก็ต่างคนต่างทุกข์

ทุกข์อันเดียวกัน เวลาทุกข์นี่หัวใจมันทุกข์หมดเลย ถ้าพ่อแม่ดี พ่อแม่พาลูกเข้ามา ลูกมีสิ่งนี้เข้ามาในหัวใจ มันซับเข้ามาในหัวใจ คนมีทางเลือกหลายๆ ทาง กับคนไม่มีทางเลือก เอาทางไหน คนมีทางเลือกมันจะมีประโยชน์กับเรานะ มีประโยชน์กับใจดวงนั้น ใจดวงนั้นมีทางเลือก มีทางออก เวลามันทุกข์ขึ้นมามันจะ อ๋อ! นี่เป็นความทุกข์ พระพุทธเจ้าสอนไว้แล้ว มันเป็นความจริง

เราเกิดมา เราไม่รู้ประสีประสา เหมือนเกิดมาท่ามกลางกองไฟ แต่ไม่รู้จักกองไฟเลย จะไม่เข้าใจเรื่องกองไฟจะมีความร้อนอย่างไร เกิดมาท่ามกลางกองไฟ เกิดมาท่ามกลางอริยสัจ เกิดมาท่ามกลางความทุกข์ขึ้นมา มีความทุกข์ขนาดไหนเราก็แก้ไขของเราขึ้นไป เราแก้ไขของเรา เราดีกว่าคนที่ไม่รับรู้สิ่งนั้น เขาเกิดท่ามกลางกองไฟ แต่เขาไม่รู้ว่ากองไฟเป็นอย่างไร เขาจะมีความทุกข์มาก เราเกิดท่ามกลางกองไฟ แต่เราพยายามทำให้กองไฟเป็นประโยชน์กับเรา

ชีวิตนี้เหมือนกัน เกิดมามีชีวิตขึ้นมาก็ใช้ไปตามประสาโลก มันก็ใช้ไปตามกระแสโลก มันหมดไปชีวิตหนึ่ง ชีวิตนี้เกิดมาแล้วก็มีแค่นี่ มีความเป็นไปอยู่ในชีวิตประจำวันขนาดนี้ แล้วก็ต่างคนต่างต้องพลัดพรากจากกันไป แต่ก็มีความสุขส่วนหนึ่งนะ ส่วนหนึ่งเพราะอะไร เพราะว่ามันเป็นการเกิดเป็นมนุษย์ มนุษย์สมบัติไง มนุษย์สมบัตินี้เป็นการเกิดที่แสนยาก เกิดเป็นอะไรนี่เกิดตายๆ เกิดมันทุกอย่าง เกิดเป็นไปหมด แล้วจิตมันไม่เคยตาย ธรรมชาติมันเป็นแบบนี้ไง สัจธรรมมันเป็นแบบนี้ แล้วอริยสัจจะ พระพุทธเจ้ามารู้สิ่งแบบนี้ รู้สิ่งลึกซึ้งในเรื่องอย่างนี้ ย้อนกลับมาที่ใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อน นี่ความลังเลสงสัย ไม่ลังเลสงสัยเรื่องชีวิตเลย

ดูอย่างปฐมยามสิ บุพเพนิวาสานุสติญาณ นี่ยังสงสัยนะ มันไปไม่มีที่สิ้นสุด แล้วมันจะสิ้นสุดกันที่ไหน มันสิ้นสุดไม่ได้เลย ย้อนอดีตชาติไปไม่มีที่สิ้นสุด สาวไปขนาดไหนก็ไม่มีที่สิ้นสุด มันก็มีความลังเลสงสัย ไม่ใช่ ไม่ใช่ก็กลับมา จุตูปปาตญาณ การเกิด สัตว์เกิดตาย ตายแล้วไปเกิดที่ไหนก็เห็นได้หมด นี่มันเป็นสภาวะแบบนั้น โลกมันเป็นอยู่แบบนี้ ความจริงมันเป็นอยู่แบบนี้ ธรรมชาติมันเป็นอยู่แบบนี้

ธรรมชาติ เห็นไหม ธรรมก็เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ แต่เราศึกษาธรรมแล้วเราปล่อยสัจจะอันนั้นเป็นส่วนหนึ่ง ตัวที่รู้สัจธรรมความจริงเป็นส่วนหนึ่ง เหมือนกับที่ว่า คอมพิวเตอร์เครื่องยนต์กลไกต่างๆ มันทำงานของมันไป มันไม่มีความรับรู้สิ่งต่างๆ หน้าที่ของมันคือมีความจำ มีอะไรต่างๆ มันก็ทำตามหน้าที่ของมัน แต่มันไม่มีความสุขความทุกข์ไปกว่านั้น

แต่หัวใจของสัตว์ หัวใจคนมันมีความรู้สึก ความสุขความทุกข์มันรับรู้สิ่งต่างๆ เราต้องทำด้วย เพราะถ้าเราไม่ทำความสงบเข้ามา เราจะไม่รู้เลยว่าใจมันคืออะไร ใจกับคอมพิวเตอร์มันหมุนไป เราเห็นคอมพิวเตอร์ทำงานแล้วทึ่งนะ ทึ่งว่ามันทำงานได้อย่างไร มันเป็นไป กลไกของมันทำงานได้อย่างไร แต่ไม่เคยเห็นคอมพิวเตอร์ สัญญา ความจำ

ข้อมูลความจำของเรา สังขาร ความแต่ง พลังงานของใจ ความรับรู้ของมัน เห็นไหม ขันธ์ ๕ นี่เป็นคอมพิวเตอร์ แต่คอมพิวเตอร์นี้ไม่ใช่ใจ ใจเป็นส่วนหนึ่งจากคอมพิวเตอร์นั้น ใจนั้นเป็นตัวรู้ต่างๆ ตัวรู้กับข้อมูลความคิด ข้อมูลความคิดเหมือนกับวัตถุอันหนึ่ง ที่ว่าพระสารีบุตรตรัสรู้ธรรม ที่ว่าหลานพระสารีบุตรไปถามพระพุทธเจ้า

“เธอไม่พอใจสิ่งต่างๆ เธอต้องไม่พอใจอารมณ์ของเธอด้วย” ไม่พอใจอาการ นี่ไม่พอใจเครื่องคอมพิวเตอร์ เรื่องข้อมูลของมัน เรื่องข้อมูลของใจ เรื่องข้อมูลของใจกับใจตัวหนึ่ง นี่ธรรมชาติ มันเป็นธรรมชาติอันหนึ่ง

แล้วก็ว่าธรรมะเป็นธรรมชาติ ถ้าเราศึกษามาถึงตรงนี้ เราก็ไม่รู้ธรรมชาติ ถ้าเราไม่รู้ธรรมชาติ เราก็ปล่อยวางตามความเป็นจริงไม่ได้ ธรรมะส่วนหยาบๆ...จริงอยู่ ธรรมะคือการศึกษาธรรมชาติ การศึกษาธรรมคือธรรมชาติ ธรรมะคือธรรมชาติ เป็นอันเดียวกัน แต่ถ้าเป็นอันเดียวกัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมไปแล้ว ใจดวงนั้นก็ต้องเป็นอย่างที่เราต้องเข้าใจสิ ทำไมเราไม่เข้าใจ

พอพูดถึงนิพพาน ทุกคนจะอ้าปากเลย นิพพานคืออะไร นิพพานเป็นอย่างไร เราไม่เข้าใจนิพพาน เราจะไม่เข้าใจเพราะอะไร เพราะเราไม่เข้าใจเรื่องธรรมชาติความเป็นจริง เราไม่เห็นข้อมูลของเรา เราเห็นเครื่องยนต์กลไกของธรรมชาติอันนี้ แล้วธรรมชาติอันนี้มันทำงานกัน ทำงานกันด้วยวิธีการของมัน

ถ้าเราเกิดมาเป็นมนุษย์ เราใช้ชีวิตปกติ นี่มันทำงานของมัน แต่เวลาเราปฏิบัติธรรม เราเข้าไปรื้อ เข้าไปถอดเครื่องยนต์กลไก เข้าไปรื้อค้น เข้าไปถอดถอน เข้าไปวิภาคะ นี่เข้าใจทางธรรมชาติ เห็นไหม วิปัสสนา มันเกิดการเข้าไปวิปัสสนา เข้าไปการกระทำอันนั้น มันเปิดแยกแยะออกไป มันก็เป็นสภาวธรรมอันหนึ่ง

ธรรมชาติเป็นสิ่งที่มันเกิดดับโดยธรรมชาติของมัน สภาวธรรมที่เราสร้างขึ้นมาเป็นมรรคนี้ เป็นสิ่งเข้าไปรื้อค้นสิ่งต่างๆ อันนี้ แล้วสิ่งที่รับรู้อันนั้นมันก็ตกผลึกลงไปที่ใจๆ ใจดวงนี้รับรู้ เห็นไหม ตัวธรรมะแท้คือเหนือธรรมชาติ ต้องเหนือธรรมชาติ เหนือสิ่งต่างๆ ทั้งหมดเลย มันถึงจะปล่อยธรรมชาติไว้ตามความเป็นจริงได้ ถ้ามันไม่เหนือธรรมชาติ มันไม่วิเศษกว่าธรรมชาติ มันก็เป็นธรรมชาติอันหนึ่ง ธรรมชาติอันหนึ่งก็เป็นวัฏวน มันก็เป็นธรรมชาตินั้น

ผู้ที่ศึกษาลัทธิเหมือนกัน ลัทธิสั่งสอนอย่างนี้ สั่งสอนให้รู้ความจริงในธรรมชาติ ก็เวียนในธรรมชาติ ก็ไม่มีใครรู้จริงไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสรู้ธรรมขึ้นมา ถึงประกาศตนว่าเป็นพระอรหันต์ แต่ศาสดาในลัทธิต่างๆ เขาไม่ประกาศตนว่าเขาเป็นพระอรหันต์ เพราะเขาไม่รู้ว่า คำว่าพระอรหันต์...อะ-ระ อะคือไม่หมุนเวียนไปตามกระแสโลก หมดเรื่องการหมุนเวียนไปตามกระแสโลก หมดเรื่องความคิดความปรุงความแต่งของใจ หมดสิ้น แต่เขาไม่รู้ว่ามันหมดอย่างไร ไม่รู้ เขาถึงไม่สามารถปฏิญาณตนว่าเขาเป็นพระอรหันต์ แต่ถ้ารู้ว่า “อะ” ความไม่เป็นไป ความไม่หมุนเวียนไป ไม่เหมือนธรรมชาติ

ธรรมชาติมันหมุนเวียนไป สภาวธรรมหยาบๆ มันหมุนเวียนตามนั้น อันนี้มันเหนือ อะ-ระ-หัน ไม่หันไปตามสิ่งนั้นแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา ถึงว่ามีเฉพาะในศาสนาพุทธของเรา แล้วมีข้อมูลอย่างนี้ ข้อมูลในการแยกแยะเครื่องยนต์กลไก จนเข้าใจเครื่องยนต์กลไกตามสภาวะความเป็นจริง แล้วมันจะมีความสุขมาก มีความสนุกมาก

ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติเห็นความคิดของตัว เห็นความเกิดดับของตัว มันมหัศจรรย์นะ มันแปลกประหลาดมหัศจรรย์ว่า ทำไมมันเกิดสิ่งนี้ได้ สิ่งนี้เกิดขึ้นมา เมื่อก่อนสิ่งนี้บังคับเรา แล้วเราวิ่งตามสิ่งนี้ไป สิ่งนี้คือสภาวะเครื่องยนต์กลไก แล้วจิตก็โดนคลุกเคล้าไปกับมัน มันหมุนไปตามข้อมูลนั้นน่ะ แล้วเราคิดไป หมุนไป เวียนไป

เมื่อก่อนมันเป็นเรา ทุกอย่างเป็นเรา สิ่งต่างๆ เป็นเราหมดเลย แต่พอมันเห็นสภาวะความเป็นจริง สิ่งนี้เป็นสิ่งหนึ่ง อาการเกิดดับ แต่อาการของสิ่งที่รับรู้มันปล่อยวางสิ่งนี้เข้ามา มันปล่อยวางๆ จนมันขาดเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป จนไปทำลายตัวมันเอง ถึงไม่หมุนเวียนตามไป ถึงสภาวะตามความเป็นธรรมในเรื่องของธรรม มันมหัศจรรย์ที่ว่ามันเห็นสภาวะแบบนั้นมันถึงจะปล่อยวางสภาวะแบบนั้นได้ ถ้าไม่เห็นสภาวะแบบนั้น มันไม่เข้าใจตามสัจธรรมขึ้นมา มันจะปล่อยวางไม่ได้ เพราะสิ่งนั้นมันมียางเหนียวเข้าไปเกาะเกี่ยวอยู่ เครื่องยนต์กลไกมันถึงช่วยตัวมันเองไม่ได้ไง

แต่ชีวิตของเรา เราช่วยตัวเองได้ พระพุทธเจ้าถึงสอนมนุษย์ สอนคน เพราะสภาวะความรับรู้ของธรรมคือหัวใจ หัวใจรับรู้สิ่งต่างๆ ขึ้นมาแล้วก็สะสมเป็นความสุขความทุกข์ แล้วก็เวียนตายเวียนเกิดเหมือนประสาเรานี้ นี่สัตว์มันถึงตายเกิดมาในท้องพ่อท้องแม่เดียวกัน มันก็ไม่เหมือนกัน มีความสุขความทุกข์ส่วนหนึ่งก็มี มีความทุกข์กว่าเขาก็มี ความสุขมากกว่าเขาก็มี แล้วก็ยังสร้างสมไปเป็นจริตนิสัย เป็นจริตนิสัยคือว่ามันสร้างสมมาปัจจุบันนี้

สัตว์ เห็นไหม ท้าวโฆสกะเป็นสุนัข เป็นหมา แต่ว่าเจ้าของฉลาดเลี้ยง ให้ไปนิมนต์พระปัจเจกพระพุทธเจ้ามาฉันอาหาร เขาเป็นสัตว์เป็นสุนัข แต่เวลาเขาตายไป เพราะว่าเขารักพระปัจเจกพระพุทธเจ้ามาก แล้วออกพรรษานี่ต่างคนต้องไปตามหน้าที่ของตัวเอง ท่านก็ต้องไปของท่าน หมาตัวนั้นเสียใจมาก หอนจนตาย ตายขึ้นไป ไปเกิดเป็นท้าวโฆสกะ เป็นเทวดา นี่ทำคุณงามความดี ภพชาติของเขาทำคุณงามความดีได้ แต่สัตว์เดรัจฉานไม่สามารถบรรลุธรรมได้ เพราะสมองของเขามีแค่นั้น ความรู้ของเขามีเท่านั้น

สมองนี้เป็นความรู้ส่วนหนึ่ง แต่เวลาความรู้จริงๆ นั้น รู้เรื่องจากใจ เรื่องจากภาวนามยปัญญา ไม่ใช่รู้จากสมอง รู้จากสภาวธรรมที่เกิดขึ้นจากการขุดค้นการค้นคว้านั้น แต่สัตว์มันไม่มีสมองสิ่งนั้น มันเริ่มต้นไม่ได้ เริ่มต้นคือความศรัทธาของมัน มันศรัทธาไม่เป็น มันละเว้นไม่เป็น มันขนาดไหน สัตว์มันก็ฆ่ามันก็กัดจนสัตว์นั้นตาย เป็นบางตัวเท่านั้นถึงจะไม่ทำ นั่นก็สัตว์ดี สัตว์ไม่ดี มันก็อยู่ในตัวของสัตว์ สัตว์นั้นยังมีสูงมีต่ำในสภาวะใจของสัตว์นั้น

มนุษย์ก็เหมือนกัน มีจิตใจสูง มีจิตใจต่ำ ไม่เหมือนกัน เราถึงว่า “น้ำใสไว้นอก น้ำขุ่นไว้ใน” มันเป็นการสั่งสอนไป แต่เวลาสภาวธรรมแล้ว จะทำลายทั้งใสทั้งขุ่นในหัวใจทั้งหมดเลย เราถึงต้องศึกษา